หนังกำกับโดย Alice Wu ผู้กำกับเชื้อสายเอเชียน-อเมริกัน ผู้เดบิวต์จากหนังเรื่องแรก Saving Face เมื่อ 16 ปีก่อน วูกลับมาพร้อมเรื่องราวของเด็กสาวเอเชีย Ellie Chu ผู้ใช้ชีวิตแสนธรรมดาอยู่ในเมืองเล็กๆ กับพ่อเหมือนเด็กเอเชียทั่วไปที่ไม่น่าสนใจ แต่มีจุดเด่นคือเรียนเก่งจนรับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อนจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ซีรี่ย์ชายรักชาย
วันหนึ่ง Paul Munsky เด็กหนุ่มนักกีฬาผู้ไม่เก่งเรื่องการใช้คำก็มาจ้างเธอเขียน 'จดหมายรัก' และทำให้ชีวิตของเธอต้องเผชิญหน้ากับการเปิดเผยตัวเองครั้งใหญ่ที่สุด นั่นคือการยอมรับว่าชอบผู้หญิง
The Half of It มีเสน่ห์ที่ตัวละครที่เรามักไม่ค่อยเห็นบนหน้าจอกับพล็อตเรื่องที่เน้นหนักไปที่มิตรภาพของสองตัวละครมากกว่าเส้นเรื่องรัก หนังทำให้เราอมยิ้มตั้งแต่ต้นและน้ำตารื้นตอนจบ เป็นหนังก้าวพ้นวัยที่ดีอีกเรื่องที่อยากแนะนำ
Alice Wu เล่าให้ฟังในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า ตอนกำกับ Saving Face (2004) หนังเรื่องแรก เธอไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องทำหนังที่แตกต่างจากเรื่องอื่นหรือสร้างสิ่งใหม่ให้ฮอลลีวูด ณ ตอนนั้นการทำหนังรอมคอมว่าด้วยความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงที่มีตัวเอกเป็นคนจีน-อเมริกันถือว่าหาดูได้ยากยิ่ง (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น)
วูบอกว่าเธอแค่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน มีเชื้อสายเอเชียน-อเมริกัน และเพียงอยากทำหนังที่มีคาแร็กเตอร์หลักเป็นคนที่คนดูไม่ค่อยเห็นกันบนจอเท่านั้น ความเซอร์ไพรส์คือหลังจากวันที่หนังออกฉาย คนดูจำนวนมากซึ่งมาจากต่างที่ ต่างพื้นเพ ล้วนบอกว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับหนังของเธอ ตอนนั้นเองที่ทำให้วูรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำนั้นสำคัญ และอาจเชื่อมโยงกับหลายคนได้มากกว่าที่เธอคิด
ปณิธานการทำหนังแบบนี้ยังถูกใช้กับเรื่องใหม่ แม้วูจะเว้นช่วงมานานกว่า 16 ปี
และแน่นอนว่า The Half of It คือหนังที่ไม่ได้สำคัญกับเธอเท่านั้น แต่เรื่องนี้ยังสำคัญกับใครหลายคนในแง่มุมที่แตกต่างจาก Saving Face
ในขณะที่ Saving Face เล่าเรื่องหญิงสาวเอเชียวัยทำงานที่ตกหลุมรักกันท่ามกลางแสงสีของเมืองใหญ่ The Half of It เขยิบมาเล่าเรื่องของตัวละครที่อายุน้อยกว่าและอาศัยในเมืองขนาดเล็กกว่าอย่างสควอมิช ที่ซึ่ง Ellie Chu (Leah Lewis) เด็กสาวชาวเอเชียย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านติดรางรถไฟตามพ่อผู้ฝันอยากเป็นวิศวกรใหญ่ แต่ด้วยอุปสรรคทางภาษา เขาจึงต้องเริ่มต้นจากการเป็นนายสถานีรถไฟเพื่อรอโอกาส อยู่ได้ไม่กี่ปีแม่ของเธอก็ตาย นับจากวันนั้นพ่อก็เหมือนจมอยู่กับห้วงความเศร้าจนไม่อยากลุกมาทำอะไร และความฝันของพ่อคงไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว
เหมือนถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เอลลี่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนให้สัญญาณรถไฟแทนพ่อจนเพื่อนที่โรงเรียนตั้งฉายา เอลลี่ ชู-ชู! (อารมณ์เสียงรถไฟฉึกกะฉัก ปู๊นๆ แต่ซับไทยแปลว่า เอลลี่ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ) เธอใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน คิดอยู่เสมอว่าจะต้องอยู่เมืองเล็กๆ นี้กับพ่อไปจนตาย และถึงจะเรียนอยู่ปีสุดท้าย เธอก็ไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย
แต่ปีสุดท้ายของไฮสคูลนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเอลลี่เปลี่ยนไป เริ่มต้นจากเรียงความปรัชญาความรักที่เธอรับจ้างเขียนให้เพื่อนร่วมคลาสแลกกับเงินอย่างลับๆ วันหนึ่ง Paul Munsky (Daniel Diemer) หนุ่มนักกีฬาท่าทางซื่อบื้อคนหนึ่งก็มาจ้างให้เธอเขียน ‘จดหมายรัก’ ถึงหญิงสาวอีกคน
เรื่องนี้จะเรียบง่าย จดหมายจะถูกเขียนขึ้นแค่ฉบับเดียวแล้วจบ ถ้าไม่ติดว่าเธอแอบรักหญิงสาวคนนั้น